เปิดสาเหตุ ทำไมเรายิ่งชอบ คนที่ไม่ชอบเรา?

จิตวิทยาความรัก : ทำไมเรายิ่งรัก "คนที่ไม่ชอบเรา" - นี่แหละ Paradox of Attraction

เคยไหม...ยิ่งเขาไม่สนใจ เรายิ่งอยากเข้าใกล้?
แต่พอมีใครมาชอบเรา กลับรู้สึก "อึดอัด" จนอยากหนี นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะมันคือ Paradox of Attraction หรือ "ภาวะแรงดึงดูดย้อนแย้ง" ที่เกิดขึ้นได้ทั้งในความรัก...และแม้แต่เวลาเรา "ช็อปของ"

ทำไมเราถึงหลงรักคนที่ไม่ชอบเรา

1. เพราะเราชอบสิ่งที่หายาก เหมือนของที่ร้านไม่ลดราคา

ลองนึกภาพ "ร้านขายของสองร้าน"

ร้านแรกพยายามลดราคา ยื่นข้อเสนอ "ลดอีกได้ไหมคะ" โทรตาม ส่งโปรทุกวัน

ร้านที่สองนิ่ง ๆ บอกแค่ "ราคานี้ค่ะ ถ้าไม่เอาก็ไม่เป็นไร"

ผลคืออะไร?
เรากลับรู้สึกว่า ร้านที่นิ่ง ๆ นั่นแหละ ของดีแน่เลย - ทั้งที่ยังไม่ได้ลองใช้ด้วยซ้ำ!

ในความรักก็เหมือนกัน
คนที่ "ดูมีขอบเขต" หรือ "ไม่ไล่ตามเรา" จะดูมีค่าในสายตาเรา เพราะสมองเชื่อมโยง "ความหายาก = คุณค่า"

ตรงกันข้าม คนที่พยายามมากเกินไป เรากลับรู้สึกเหมือน "ของลดราคา" ที่หมดแรงดึงดูดไปโดยไม่รู้ตัว

2. เพราะสมองเราหลงใหลในความไม่แน่นอน

เวลาคนที่เราชอบไม่ตอบแชต หรือหายไปวันสองวัน
สมองจะหลั่ง โดปามีน เหมือนเวลาเราเล่นเกมเสี่ยงโชค - ไม่รู้จะได้รางวัลไหม แต่แค่ "อาจจะได้" ก็ทำให้เราตื่นเต้น

นั่นแปลว่า...บางทีเรารัก "ความไม่แน่นอน" มากกว่าตัวเขาเอง
คนที่ไม่ชอบเรา กลายเป็นเหมือน "ของหายาก" ที่เราพยายามไขว่คว้า เพราะสมองติดการลุ้น

3. เพราะเรารู้สึกอยากพิสูจน์คุณค่า

เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบสนอง เรามักเผลอคิดว่า "เรายังดีไม่พอ"
แทนที่จะถอย เรากลับพยายามมากขึ้น เพื่อพิสูจน์ว่าเรามีค่า
เหมือนเวลาร้านบอกว่า "สินค้าหมดแล้วค่ะ" เรากลับรีบอยากได้มันเดี๋ยวนั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังเฉย ๆ

เราไม่ได้อยากได้ "คนคนนั้น" เท่ากับอยากได้ "การยอมรับ" จากเขา

4. เพราะเราสับสนระหว่างแรงดึงดูดกับความรัก

แรงดึงดูด (Attraction) ทำให้หัวใจเต้นแรง
แต่ "ความรักจริง ๆ" (Love) ควรให้ความรู้สึกสงบและมั่นคง
ปัญหาคือเรามักเสพติด "ความใจเต้น" มากกว่า "ความสบายใจ"
เลยเลือกคนที่ทำให้เราวิ่งตาม มากกว่าคนที่พร้อมเดินข้างเรา

สรุป : ความรักไม่ใช่การลดราคาเพื่อให้ใครซื้อใจเรา

ในโลกของความรู้สึก

คนที่พยายามมากไป เหมือนร้านที่ลดราคาทุกวัน - ดูหมดคุณค่าในสายตาคนซื้อ

แต่คนที่รู้คุณค่าตัวเอง เหมือนแบรนด์ที่ "ไม่ลดราคา" เพราะรู้ว่าของดีอยู่แล้ว

ความรักที่ยั่งยืน จึงไม่ใช่การขายของให้คนมาชอบเรา
แต่คือการ "เป็นของดี" ที่ไม่ต้องลดราคาเพื่อให้ใครเห็นคุณค่า